มะรุม พืชมหัศจรรย์

มะรุม พืชมหัศจรรย์

“รู้ลึก เรื่องมะรุม” และ “นาฬิกาชีวิต ตอนที่1, 2” เป็นหนังสือที่คุณวิไลวรรณ อนุสารสุนทร ได้เขียนขึ้น โดยรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์และประสบการณ์ตรง เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่ผู้ที่สนใจ

“มะรุม” เป็นพืชพื้นบ้านที่รู้จักกันมานานกว่า 2000ปี ทั้งในด้านอาหาร, ช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ และในด้านเสริมความงาม สำหรับในประเทศไทยจะรู้จักมะรุมอย่างแพร่หลายในลักษณะของแกงส้มมะรุม แต่มีคนจำนวนน้อยมากที่รู้จักว่าใบและส่วนอื่นๆของต้นมะรุมนอกจากจะเป็นอาหารที่อร่อยแล้วยังสามารถ ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทาน ให้แก่ร่างกายได้เป็นอย่างดี

 

สายพันธุ์ของมะรุมในโลกนี้ มีทั้งสิ้น 13-14 สายพันธุ์ และ 10ใน13 สายพันธุ์จะขึ้นเฉพาะในถิ่นที่แล้งจัด เช่นทะเลทราย แต่มีเพียง 2 สายพันธุ์ที่สามารถปลูกได้ในประเทศไทยคือ โอลิเฟอร์ร่า และคอนคาแนนซีส

 

มะรุมนั้นเป็นพืชไม้เนื้ออ่อน และต้นสูงใหญ่ ถึงแม้ว่าจะเป็นไม้ยืนต้นที่มีอายุยืนนานก็ตามที แต่มะรุมก็เป็นพืชที่เปราะบาง หักง่าย และมีประสิทธิภาพในการแตกใบได้เร็ว ถ้าได้น้ำที่พอควร ฉะนั้นถ้าเราคอยตัดแต่งอย่างสม่ำเสมอแล้วต้นมะรุมจะเป็นไม้ที่สามารถนำมาปลูกในบ้านได้เป้นอย่างดีเราสามารถควบคุมความสูงไม่ให้เกิดอันตรายได้ และยังปลูกในกระถางได้เป็นอย่างดีด้วย

 

มะรุมทุกชนิดมีคุณค่าเท่าเทียมกัน แต่สาเหตุที่โอลิเฟอร์ร่าเป็นสายพันธุ์ ที่มีการนำมาทดลองมากที่สุด เพราะเป็นสายพันธุ์ที่สามารถขึ้นได้ดีทุกสภาพอากาศ ยกเว้นอากาศที่หนาวจัดจนเป็นน้ำแข็ง ทรงต้นสูงชะลูด ไม่กินที่ในการปลูก ใบหนาแน่น ดอกดก สามารถให้ผลผลิตเป็นที่น่าพอใจ มีความต้านทานต่อโรคภัยได้ดี เหมาะทั้งในการปลูก เพื่อครัวเรือนและการเกษตร ในขณะที่สายพันธุ์อื่นๆขึ้นได้ในที่จำกัด ไม่เหมาะสมกับอากาศชื้น ดังนั้นนักวิจัยส่วนมากจึงนิยมทำการทดลงจากสายพันธุ์นี้มากที่สุด

 

ในประเทศไทยได้มีการร่วมวิจัยจากคณะนักชีวะวิทยาที่เชี่ยวชาญในพันธุ์ไม้และนักวิชาการจากออสเตรเลีย ได้ลงความเห็นว่าสายพันธุ์ในประเทศไทยนั้น 80% เป็นสายพันธุ์โอลิเฟอร์ร่า แม้บางครั้งจะเห็นว่าลักษณะของฝัก และใบอาจมีการแตกต่างกันออกไปก็เนื่องมาจากสภาพความสมบูรณ์ของดิน สภาวะอากาศ และการทำนุบำรุง แต่คุณสมบัตรจะไม่แตกต่างจากกันมากนัก

 

  • ประสบการณ์ตรง

แต่ก่อนดิฉันเองก็เคยมีความเชื่อเกี่ยวกับต้นมะรุมเช่นคนอื่นๆ แต่ 8 ปีที่ผ่านมา ความเชื่อเก่าๆเกี่ยวกับมะรุม ได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อวันหนึ่งดิฉันได้พบเพื่อนคนหนึ่งโดยบังเอิญ ในขณะนั้นดิฉันเป็นคนไทยคนเดียวที่ทำงานในธนาคารอเมริกาฝ่ายอสังหาริมทรัพย์ก็เหมือนคนไทยในต่างแดนอีกหลายๆคนที่มักจะมีพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ติดไว้บูชาที่โต๊ะทำงานและแล้ววันหนึ่งก็มีจดหมายสั้นๆวางไว้บนโต๊ะถามว่า “คุณเป็นคนไทยหรือเปล่าครับ”

 

จากวันนั้นมาดิฉันก็ได้พบเพื่อนที่ดีอีกครอบครัวหนึ่งและเพื่อนคนนี้เองที่ชักจูงให้ดิฉันได้ทราบถึงสรรพคุณของมะรุมอันมีประโยชน์ต่อร่างกายเราอย่างยิ่ง ใครจะเชื่อว่าใบไม้บอบบางใบเล็กๆนี้จะสามารถนำพาชีวิตดิฉันให้พ้นจุดอันตรายมาได้ จากโรคภัยที่เบียดเบียนมานานปี จนแทบจะกลายเป็นเพื่อนสนิทที่ขาดกันไม่ได้ เช่น โรคภูมิแพ้ โรคความดัน กระดูกเสื่อม ลำไส้อักเสบ โรคโลหิตจากอย่างรุนแรง ระบบทางเดินหายใจไม่ปกติ

 

ตอนนั้นก็เพิ่งรู้ว่ามะรุมทานได้ ก็เลยทำตัวเป็นวัวทานพืชใบเขียวเป็นอาหาร แล้วก็เหมือน “ปาฏิหาริย์” โรคภัยที่เป็นอยู่ยกธงขาวยอมแพ้เอาดื้อๆ หลังจากทำการค้นคว้าดูจากหลายๆที่ และจากหลักฐาน งานวิจัยขององค์การสหประชาชาติได้วิจัยไว้ว่า ใบมะรุมเป็นพืชใบเขียวในจำนวนน้อยนิดที่มีอยู่ในโลกที่ประกอบไปด้วยสารอาหาร แร่ธาตุ ไวตามิน สารอิโนแอสิต มีถึง 18 ชนิด ในจำนวน 22 ชนิด ที่ร่างกายมนุษย์เราต้องการใบมะรุมจึงนับว่าเป็นพืชที่มีคุณสมบัติในการเสริมสร้างภูมิต้านทานให้เกิดความสมดุล และแข็งแรง   มะรุมไม่ใช่ยา และไม่มีสรรพคุณในทางรักษาโรค เป็นแต่เพียงอาหารเสริมที่มีคุณค่าต่อร่างกาย

และให้ภูมิคุ้มกันได้เป็นอย่างดี ดิฉันเองไม่ใช่หมอ ไม่มีความรู้ทางแพทย์เลย อีกทั้งยังไม่มีความรู้ด้านสมุนไพรเลย มีแต่ประสบการณ์จากชีวิตจริงของตนเองและบุคคลรอบข้างที่จะนำมาเล่าสู่กันฟัง โดยหวังว่าจะมีประโยชน์ต่อผู้อ่านบ้างไม่มากก็น้อย

 

  • อีกเคล็ดลับในการเพาะปลูกมะรุม

     

การปลูกโดยวิธีเพาะเมล็ด

ก่อนปลูกควรนำเมล็ดแช่ในน้ำ 1 คืนเพื่อให้เปลือกนิ่ม รดน้ำให้ชื้นแต่อย่าให้ถึงกับแฉะ เพราะจะทำให้เมล็กเน่า

สำหรับแปลงปลูกต้นมะรุม ควรเลือกสถานที่ที่ได้รับแสงแดดเพียงพอ ทำหลุมลึก 30-60 ซม. ขนาด30x30 ซม. ใส่ดินที่ผสมปุ๋ยอินทรีย์เรียนร้อยแล้วลงในหลุม ลงไปให้ได้ 3ส่วน 4 ของความลึกของหลุม แล้วใส่เมล็ดให้ลึกประมาณ 1 ซม. กลบให้เรียบร้อย ประมาณ1-2อาทิตย์ เมล็ดมะรุมจะงอกออกมา

ข้อควรระวัง การฝังลึกจนเกินไปอาจทำให้เมล็ดเน่าได้ ควรเหลือที่จากปากหลุมเล็กน้อยเพื่อสะดวกแก่การรดน้ำและต้องแน่ใจว่าสภาพดินสามารถดูดซึมน้ำได้เป็นอย่างดี

 

การปลูกโดยวิธีเพาะชำ

การเพาะชำด้วยกิ่ง สามารถตัดกิ่งมะรุมที่ค่อนข้างแก่ มาปักชำได้เป็นอย่างดี แต่ไม่ใช่ว่าจะทำได้ทั้งปี การปักชำสามารถทำได้ในภาวะที่มีแดดอุ่นตลอดวัน และมีความชุ่มชื้นที่พอเพียง แดดมีความสำคัญต่อการปลูกมะรุมเป็นอย่างมาก เพราะเมืองไทยมีความชื้นค่อนข้างสูง เชื้อราจึงแทรกซึมได้ง่าย และเป็นอันตรายต่อการปลุกมะรุมเป็นอย่างยิ่ง

 

วิธีการเพาะชำ ให้ตัดกิ่งมะรุมที่ไม่แก่และไม่อ่อนจนเกินไป ยาวประมาณ 1 ฟุต จะปักในกระถางหรือปักลงดินโดยตรงก็ได้ ปักลึกประมาณ 3-4 นิ้ว โดยปักในลักษณะเอนประมาณ 45 องศา ก่อนที่จะทำการปักกิ่งมะรุม ควรนำก้านมะรุมแช่กับฮอร์โมนเร่งรากจะช่วยในการเติบโตได้เป็นอย่างดี ในระยะเริ่มปลูกควรให้แน่ใจว่าดินชื้น แต่ไม่แฉะ เมื่อต้นขึ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้วและสูงสัก 2 ฟุต ให้ตัดทอนต้นลงเหลือแค่ฟุตครึ่ง กิ่งใหม่ๆจะแตกภายในเวลาประมาณ 1 สัปดาห์

 

การดูแล สำหรับการดูแล ถ้าเราหมั่นรดน้ำล้างใบอย่างสม่ำเสมอจำทำให้มีใบสดและสะอาดทานตลอดเวลา แต่ถ้าไม่ต้องการฝักมะรุม ให้ตัดแต่งกิ่งได้บ่อยๆเช่นเดียวกับการปลูกกระถิน เพราะยิ่งตัดจะยิ่งแตก ดังนั้นการปลูกในบริเวณบ้าน จึงไม่ใช่ข้อห้ามอีกต่อไป แต่ถ้าต้องการทั้งดอกและใบด้วย ก็ปล่อยให้ต้นโตไปตามธรรมชาติ รอจนกว่าฝักจะแก่จัด ได้เวลาเก็บ จึงค่อยตัดให้ต่ำลงมาหลังจากเก็บฝักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำเช่นนี้เสมอๆ ต้นมะรุมก็จะไม่โตจนเกินไป ทำให้สะดวกในการเก็บใบ

 

                การเก็บฝักมะรุมควรดูให้ดีๆ เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความชื้นสูง ฉะนั้นการที่รอให้ฝักแก่คาต้น เมื่อโดนความชื้น เช่นน้ำค้างในตอนเช้า ฝักอาจปริหรือแตก ซึ่งเป็นสาเหตุให้เชื้อราแทรกเข้าสู่ฝักได้ จึงควรระวังให้มาก เชื้อรามีอันตรายสูงบางครั้งเราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แม้ว่ามะรุมจะมีคุณสมบัติในการกำจัดเชื้อราได้ก็ตาม และการปลูกมะรุมควรระวังเรื่องแมลง และโรคภัยเช่นราขาวและราสนิมด้วย

 

ต้นมะรุมสามารถปลูกได้ทั้งในกระถางที่ใหญ่พอสมควรหรือปลูกในสวนหลังบ้านได้เป็นอย่างดี และสามารถเก็บใบมาใช้ปรุงอาหาร หรือทานสดๆเป็นผักข้างเคียงแบบผักที่ญวณใช้เป็นอาหารเคียง นำมาทำให้สุก เช่น ลวกทานกับน้ำพริก ทำแกงจืด หรือนำมาทำให้แห้งและทำเป็นชาเขียวที่แสนหอมน่าดื่ม ใบมะรุมเป็นพืชที่มีแร่ธาตุไวตามินสูงเกือบครบ บริบูรณ์ที่ร่างกายเราต้องการ สามารถนำมาบดเป็นผงและใช้ในลักษณะของอาหารเสริมที่ใช้บำรุง เสริมสร้างภูมิต้านทานและการมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง มีนักวิชาการชาวอเมริกากล่าวว่าการปลูกมะรุมภายไว้ในบ้านเพียง 1 ต้นก็เปรียบเสมือนท่านได้ย้ายโรงพยาบาลมาไว้ในบ้านเลยทีเดียว มีทั้ง โรงพยาบาล และตู้ยาชั้นดีไปพร้อมๆกัน ทั้งยังอาจทำให้มีรายได้เสริมได้ด้วย เช่น ถ้าปลูกไว้สัก 1-2 ต้น เมื่อเหลือจากการใช้งานในครอบครัวแล้วก็ยังสามารถเก็บทั้งใบ ดอก และฝัก ไปขายหารายได้พิเศษช่วยครอบครัวได้เป็นอย่างดี

 

 

ขอขอบคุณข้อมูลที่ดีจาก : คู่มือการเพาะปลูก แปรรูป และผลิตภัณฑ์ มะรุม ครบวงจร
ผลที่ได้ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล และ การดำเนินชีวิตในประจำวันที่ถูกต้อง